ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม วิธีง่ายๆ รักษาริ้วรอยร่องลึก

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

เมื่อเวลาผ่านไป อายุมากขึ้น สิ่งที่ตามเรามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นที่ร่องแก้ม ใต้ตา หรือจุดอื่นๆ ล้วนแล้วเปลี่ยนแปลงไปตามวัย และไม่ว่าเราจะพยายามรักษาหรือป้องกันริ้วรอยเหล่านี้อย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะสู้ความโหดร้ายของกาลเวลาไม่ไหว แต่ปัจจุบันมีหลายวิธีที่เข้ามาช่วยรักษาริ้วรอยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบท็อกซ์ หรือ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เราจะพูดถึงกัน

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร?

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในบริเวณที่เป็นร่องตรงแก้ม สารที่ใช้ฉีดนั้นมักจะเป็นสารกลุ่มจำพวกไฮยารูรอนิก ซึ่งมีคุณสมบัติสลายตัวได้ร้อยเปอร์เซ็นในธรรมชาติ การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่เป็นร่องลึกจากริ้วรอยของวันนั้นเต่งตึงขึ้น และดูอ่อนเยาว์เหมือนผิวสาวสุขภาพดี

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอยู่ได้นานแค่ไหน?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มนั้น จะคงรูปอยู่ได้นานตั้งแต่หกเดือนจนถึงหนึ่งปี ตามแต่คุณสมบัติของฟิลเลอร์แต่ละรุ่นหรือยี่ห้อที่หมอเลือกใช้ บางยี่ห้ออาจจะอยู่ได้ประมาณหกเดือนแล้วสลายไป หากต้องการเสริมใหม่อีกครั้งก็อาจจะเลือกเติมฟิลเลอร์อีกครั้งเพื่อรักษารูปทรงของแก้มให้เต่งตึงเหมือนเดิม ฟิลเลอร์บางรุ่นอาจอยู่ได้นานกว่านั้นเช่นหนึ่งปี แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฟิลเลอร์รุ่นไหน สุดท้ายแล้วควรสลายไปได้หมดในธรรมชาติ ไม่ทิ้งสิ่งตกค้างไว้ให้เกิดรอยบนใบหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มต้องดมยาสลบหรือไม่?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นหัตถการที่สามารถทำได้เลยที่คลินิก โดยไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลังจากฉีดแล้วพักใบหน้าไม่นานก็สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยอาจต้องระวังการจับใบหน้าหรือการเข้าใกล้สิ่งที่มีความร้อนที่อาจทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูปได้ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นหัตถการที่ไม่ยาก สามารถทำได้ตามคลินิกทั่วไปแต่อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้วยเช่นกัน

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

นี่คือนานาสาระคำถามที่เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ใช้แก้ปัญหาร่องแก้มลึกไม่สวยงามได้ผลมากในปัจจุบัน การฉีดฟิลเลอร์นั้นอันตรายค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย ดังนั้นก่อนการฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดีก็ตาม ทุกครั้งเราควรจะศึกษาหาข้อมูล พิจารณาปัญหาที่เราต้องการแก้ไข ข้อดีข้อเสียของการใช้ฟิลเลอร์เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ให้เข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจเข้าทำการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด